jatupong

|  
 ตะกร้าสินค้า (0)

(banner2) 2008109-29-46003.jpg

  



เอามาสรุปรวมให้อีกทีสำหรับท่านๆที่ต้องการเปลี่ยน Mag ครับ ถ้ามีเพิ่มเติมรบกวน add ด้วยครับผม (ขอรวมๆข้อมูลของท่านอื่นๆด้วยนะครับ)

เพิ่มนิดนึงครับ การเลือกแม็ก จะให้ดีควรคิดถึงระยะยาวด้วยครับ เช่น

1. เป็นลายหายากมากไหม ถ้าอนาคตเอาไปเสยมาล้อนึง จะหาล้อใหม่เปลี่ยนได้ไหม ไม่ใช่เสีย 1 ล้อ ต้องซื้อใหม่ยกชุด 3 ล้อเดิมทิ้ง

2. ถ้าเกิดเอาไปเฉียวมา ซ่อมยากไหม

3. ถ้าเป็นแบบมีฝาครอบดุมตรงกลาง ต่อไปถ้าฝาหาย จะหาของมาใส่ได้หรือไม่ พวกฝาพลาสติกชุบโครเมี่ยม จะไม่ค่อยทน


การเลือกเปลี่ยนล้อแม็ก มี 3 ข้อที่ต้องคำนึงถึงครับ

1. เลือกขนาดของล้อที่อยากได้ก่อน

ขนาดของล้อที่ใส่ได้ สำหรับ New Jazz มีตั้งแต่ ขนาด 15-19 นิ้ว

แม็ก 18-19" ถ้าไม่ใจรักจริง อย่าใส่ดีกว่าครับ ทั้งกระเทือน ทั้งอืดสุดๆ ทั้งทำช่วงล่างพังเร็ว และก็แพงทั้งล้อทั้งยางครับ

มาดูที่ 15 ถึง 17 คิดๆดูง่ายๆเลยนะครับ ว่าล้อขนาด 17,16, 15 ขนาดของแก้มยางมันต่างกันตรงไหน?

205/45 R17 => แก้มยางสูง 92.25 มิล (ขนาดยาง 205/45/17)
205/45 R16 => แก้มยางสูง 92.25 มิล (ขนาดยาง 205/45/16 ไม่ก็ 205/50/16)
195/50 R15 => แก้มยางสูง 97.5x2 มิล (ขนาดยาง 195/50/15 หรือถ้าเน้นใช้งานสบายๆก็ ขนาดยาง 195/55/15)

ด้วยยาง size นี้ ล้อขอบ 17 กับ 16 ความสูงของแก้มยางเท่ากันเด๊ะ ดังนั้นมันจะสะเทือนเท่าๆกัน (แต่ล้อ 16 เส้นผ่าศูยน์กลางจะเล็กกว่า 17 ข้างละ 0.5 นิ้ว และเล็กกว่าล้อเดิมจากโรงงาน ดังนั้นไมล์จะเพี้ยน โดยจะขึ้นไวกว่าความเป็นจริง) ส่วนล้อขอบ 15 แก้มสูงกว่า 5 มิล ก็ไม่ได้เยอะอะไร คงไม่ได้นุ่มกว่าอะไรกว่าล้อ 16 และ 17 มากมายครับ แต่สิ่งที่ต่างกันระหว่าง 17, 16, 15 คือเส้นผ่าศูยน์กลางของล้อ (เพราะแก้มยางสูงเท่าๆกัน) ซึ่งมีผลทำให้ระยะทางที่ล้อหมุนไป 1 รอบได้ระยะทางต่างกัน ทำให้ไมล์เพี้ยนครับ

ดังนั้นจะสรุปได้ว่า

ล้อขนาด 15, 16, 17 ความกระเทือน ความกระด้างไม่ต่างกันมาก เพราะความสูงของแก้มยางใกล้เคียงกัน ดังนั้น...

ล้อ 17 => สวย ดูเต็มซุ้มที่สุด มีแบบเยอะ แต่ก็แพงสุด ออกตัวอืดกว่านิดนึง (ขับไปเดี๋ยวก็ชิน) ขนาดใกล้เคียงล้อโรงงานที่สุด ทำให้ไมล์จะเพี้ยนน้อยที่สุด
ล้อ 16 => จะซื้อ 16 เอา 17 เลยดีกว่า เพราะราคาใกล้เคียง และความกระเทือนไม่หนี 17 เลย เพราะแก้มยางก็สูงเท่าๆกัน
ล้อ 15 => ได้ความเตี้ย (ใต้ท้องขูดอะไรง่ายขึ้น) ล้อเล็กสุด ออกตัวปรู๊ดปร๊าดที่สุด แต่ไมล์เพี้ยนมากที่สุด แต่ก็ประหยัดน้ำมันกว่า 17 และราคาถูกกว่า

อ้อ...เติมลมยางผสมไนโตรเจน จะช่วยให้นุ่มขึ้นอีกนิดนึงครับ

อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือ เส้นรอบวงของล้อที่เปลี่ยนไป จะมีผลกับตัวเข็มไมล์ด้วย

คิดแบบง่ายๆ สูตรเส้นรอบวงของวงกลมคือ 2พายอาร์ โดยพาย = 3.1415926, และ 1 นิ้วเท่ากับ 25.4 มิล

สูตร            => 2 x พาย x (ขนาดล้อ(นิ้ว)/2 (รัศมีก็เอาครึ่งเดียว) x 25.4(แปลงเป็นมิล) + ความสูงแก้ม(มิล)

205/45 R17 => 2 x 3.14 x (((17/2) x 25.4) + (92.25)) => ล้อหมุน 1 รอบได้ระยะทาง 1935.18 มิล
205/40 R17 => 2 x 3.14 x (((17/2) x 25.4) + 82) => ล้อหมุน 1 รอบได้ระยะทาง 1870.81 มิล
205/45 R16 => 2 x 3.14 x (((16/2) x 25.4)+92.25) => ล้อหมุน 1 รอบได้ระยะทาง 1,855.42 มิล
195/50 R15 => 2 x 3.14 x (((15/2) x 25.4) + 97.5) => ล้อหมุน 1 รอบได้ระยะทาง 1808.64 มิล

เทียบกับล้อเดิม

185/55 R16 => 2 x 3.14 x (((16/2) x 25.4) + 101.75) => ล้อหมุน 1 รอบได้ระยะทาง 1,915.08 มิล
175/65 R15 => 2 x 3.14 x (((15/2) x 25.4) + 113.75) => ล้อหมุน 1 รอบได้ระยะทาง 1,910.69 มิล

จะเห็นว่า ล้อ 17 กับยาง 205/45 จะขนาดใกล้เคียงล้อเดิมที่สุด ไมล์จึงเพี้ยนน้อยที่สุด

เทียบดูกับล้อเดิมๆแล้ว ล้อ 15 จะเล็กสุด ไมล์จึงเพี้ยนให้เห็นว่าไมล์จะอ่อน ขึ้นไวกว่าความเป็นจริง เช่นขับอยู่ที่ 50 กิโลต่อชั่วโมง แต่ความเร็วจริงอาจจะ 45 แต่ด้วยล้อที่เล็กกว่า เวลาออกตัวจึงดูปรู๊ดปราดกว่า แต่ที่ความเร็วสูงๆก็จะสียเปรียบล้อที่ใหญ่กว่าครับ

ส่วนล้อ 17 จะใกล้เคียงกับขนาดของล้อเดิมมากที่สุด ล้อใหญ่กว่าจึงออกตัวอึดดกว่า ทั้งจากขนาดของหน้ายางและน้ำหนัก แต่เข็มไมล์จะเพี้ยนน้อยที่สุดครับ

อ้อ แถมเรื่องความกว้างของล้อด้วยครับ

ล้อ 17 x 7 กับ 17 x 7.5 นิ้ว ที่ Offset +42 เท่ากัน เวลาใส่ก็จะยื่นออกไม่เท่ากัน ส่วนของความกว้างที่เพิ่มขึ้นมาอีก 0.5 นิ้ว จะถูกหาร 2 ก่อน แล้วค่อยบวกตัว Offset เช่น ล้อ 7 นิ้ว และ 7.5 นิ้ว ที่ Offset +42 เท่ากัน เวลาใส่ ตัวล้อกว้าง 7.5 นิ้ว ล้ิอจะยื่นออกมาด้่านนอก ว่าตัวล้ิอกว้าง 7 นิ้ว อีก (0.5 นิ้ว / 2) = 0.25 นิ้ว ครับ


2. เลือก Offset ของล้อครับ

อีกตัวที่สำคัญมากๆ ล้อจะยื่นจะหุบก็อยู่ที่ตัวนี้ ตัว New Jazz ปัญหาที่พบคือล้อหน้า เวลาจัมป์แรงๆจะติดที่แป้นน็อตซุ้มล้อหน้า

รถแต่ละรุ่น จะมี ค่าoffsetหลากหลาย ไม่เหมือนกัน บางอย่างก็ใช้ทดแทนกันได้ สังเกตอย่างไรว่า ล้อนั้นมีออฟเซตที่พอดีกับรถ ง่ายๆด้วยสายตา การมองใกล้ๆที่ซุ้มล้อ ล้อที่ใส่ยาง และเติมลมได้ในระดับพอดี จะต้องไม่มีส่วนของยาง หรือแม้แต่แก้มยาง (แลบ) เกินออกมานอกซุ้มล้อ หรือหุบหายจากซุ้มล้อมากเกินไป หรือใช้ไม้ยาวๆ หรือไม้บรรทัดทาบกับซุ้มล้อดูในแนวตั้งฉาก ถ้าออฟเซตบวกมากไป ล้อ และยางจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ แต่ถ้าออฟเซตบวกน้อยไปล้อ และยางก็จะยื่นออกมานอกซุ้มล้อ วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ

อย่างของ Jazz GE ต้องเอาที่ +42 ขึ้นไปครับ (หามากกว่านี้ยากมาก) ถ้าจะให้ดีควรเป็น Offset +50 ก็ยิ่งครับยิ่งดี (คันผมใส่ Offset +48 ก็ยังติด) เพราะ +42 ยางก็ล้นๆบังโคลนแล้วครับ นั่งเยอะๆ จัมป์แรงๆมีติดครับ (ติดแป้นน็อตซุ้มหน้า) ล้อเดิม 16 นิ้วของ GE จะ Offset +53 ครับ เอาง่ายๆก็คือ ถ้าเอาล้อ Offset +38 มาใส่ (ร้านขายเกือบทั้งหมดจะบอกแต่ว่าใส่ได้หมดไม่ติด) ตัวล้อก็จะยื่นออกมาจากจุดที่ล้อเดิมอยู่อีก 53-38 = 15 มิล หรือ 1.5 เซ็นต์ครับ ล้อจึงยื่นออกมาพ้นตัวถังเวลาจัมป์ยางจึงติดบังโคลนครับ

ถ้าหา Offset เยอะๆไม่ได้จริงๆ ใส่ล้อ 17 x 7 Offset +42 กับ ยาง 205/45 แล้วใส่ยางแก้มหลบเยอะๆหน่อยอย่างเช่น Dunlop Direzza DZ101 ก็ช่วยได้ประมาณนึงครับ อาจจะติดซุ้มล้อหน้าบ้าง ขับระวังหน่อยตอนจะขึ้นลงสะพานหรือหลุมใหญ่ๆก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ

Note: ยางแก้มไม่หลบ ล้อจะดูสวยเต็มกว่าแบบแก้มหลบ แต่ทำไงได้หละครับ Offset ที่ +50 ขึ้นบ้านเรามันก็ดันหายากซะอีก จะมีก็ล้อแท้ 4 วง 80,000 .....

การดู Offset ล้อก็ดูที่ด้านหลังครับ มักจะเขียนไว้เช่น ET48 หมายถึง Offset +48



ไม่ก็ดูที่ป้าย -> Offset +48 PCD 4 รู 100



"ระยะออฟเซ็ทของวงล้อรถยนต์"

เรื่องของระยะ Offset ล้อ เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เลือกยาก Offset ที่ว่าเลือกยาก ก็แน่ รถแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ความต้องการของผู้ใช้ที่อยากจะสวยเปลี่ยนไปตลอด เอาเป็นว่าเรื่อง Offset นั้นคืออะไร เลือกอย่างไร การแก้ไข มาดูกันครับ



ออฟเซ็ต (Offset) หรือ ET  
ออฟเซ็ต คือ ระยะห่างระหว่าง หน้าแปลนยึดดุมล้อ (Hub Mounting Surface) ภายในล้อแม็กซ์ กับขอบกระทะล้อด้านนอก นับจากจุดกึ่งกลางเป็นจุดตั้ง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร



ออฟเซ็ตศูนย์ (Offset Zero)
คือตำแหน่งยึดดุมล้ออยู่ศูนย์กลางล้อพอดี (นึกถึงถ้าเราเอาล้อแม็กซ์กว้าง 8 นิ้ว มาผ่าครึ่ง จะวัดได้จุดศูนย์กลางที่ 4 นิ้ว แล้วหน้าแปลนยึดดุมล้อด้านในอยู่ตรงที่ตำแหน่งยึดดุมล้อนั้น อยู่กลึ่งกลางพอดี) เรียกว่าออฟเซตศูนย์
ออฟเซ็คบวก ( Positive Offset)คือตำแหน่งยึดดุมล้อ เยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกรถ หรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อ ถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมา ถือว่าเป็น ออฟเซตบวกทันที เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา 1 มิลลิเมตร เรียก +1 ถ้าเดินหน้าออกมา 10 มิลลิเมตร เรียก + 10 หรือเดินหน้าออกมา 38 มิลิเมตรเรียก + 38 เป็นต้น สังเกตง่ายออฟเซตยิ่งติดบวกมาก ลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ ก็จะออกมามาก หรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย
ออฟเซ็ตลบ (Negative Offset)
ตรงข้ามกับออฟเซตบวก พวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อ นับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดลบมากเพียงนั้น ล้อแม็คพวกนี้สังเกตได้คือ ลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอก ยึ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกัน แม็กซ์ออฟลึก (โคตร) นั่นเอง

วิธีวัดออฟเซตของล้อ
มีส่วนมากที่ไม่มีการตีตัวเลข Offset ไว้ที่ล้อ (ปกติข้างกล่อง จะมีตัวเลข Offset , P.c.d. หรือสี มาให้ทุกกล่อง (อย่างผมเคยเป็นคนขายก็ง่าย ) แต่ถ้ากล่องหาย หรือเป็นแม็กซ์มือสอง เรามีวิธีวัดหาค่า Offset ได้อย่างคร่าวๆ สไตล์เรา Thaispeedcar และ เพื่อความเข้าใจเรื่อง Offset มากขึ้น ดังนี้
ล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดถ้าเป็นล้อที่ใส่ยางแล้ว การถอดมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อ ที่ระบุไว้ชัดเจน หรือใช้วิธีการวัด ด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้ หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด และเครื่องคิดเลขอีกสักตัว

หรือเอาสั้นๆ การหาออฟเวทของวงล้อรถยนต์ ให้ทำดังนี้..

1.ให้ลากเส้นสมมุติ ผ่านจุดศูนย์กลางของวงล้อ
2.ให้ลากเส้นสมมุติ แบ่งครึ่งความกว้างของวงล้อ
3.ให้ดูจุดตัดของเส้นทั้งสองเส้น กึงกลางล้อพอดี ออฟเซ็ท เป้น 0
3.1 ดุมยึดแกนล้อ อยู่ใกล้ขอบล้อด้านนอก มากกว่าจุดตัด.......ออฟเซ็ทเป็นบวก
3.2 ดุมยึดแกนล้อ อยู่ใกล้ขอบล้อด้านใน มากกว่าจุดตัด........ออฟเซ็ทเป็นลบ

รถแต่ละรุ่น จะมี ค่าoffsetหลากหลาย ไม่เหมือนกัน บางอย่างก็ใช้ทดแทนกันได้ ซึ่งค่าoffsetนั้น จะมีความสัมพันธ์กับความกว้างของแม็กซ์ จึงต้อง
คำนึงถึงความกว้างของแม็กซ์ด้วย

สังเกตอย่างไรว่า ล้อนั้นมีออฟเซตที่พอดีกับรถ ง่ายๆด้วยสายตา การมองใกล้ๆที่ซุ้มล้อ ล้อที่ใส่ยาง และเติมลมได้ในระดับพอดี จะต้องไม่มีส่วนของยาง หรือแม้แต่แก้มยาง (แลบ) เกินออกมานอกซุ้มล้อ หรือหุบหายจากซุ้มล้อมากเกินไป หรือใช้ไม้ยาวๆ หรือไม้บรรทัดทาบกับซุ้มล้อดูในแนวตั้งฉาก ถ้าออฟเซตบวกมากไป ล้อ และยางจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ แต่ถ้าออฟเซตบวกน้อยไปล้อ และยางก็จะยื่นออกมานอกซุ้มล้อ
วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ

อย่างของ Jazz GE ต้องเอาที่ +42 ขึ้นไปครับ จะเป็น +45 +48 (แต่หายากมากๆ) ก็ได้ครับยิ่งดี เพราะ +42 ยางก็ล้นๆบังโคลนแล้วครับ (อันนี้นับที่ล้อ 17 กว้าง 7 นิ้วนะครับ) นั่งเยอะๆ จัมป์แรงๆอาจจะมีติดครับ ล้อเดิม 16 นิ้วของ GE จะ Offset +53 ครับ เอาง่ายๆก็คือ ถ้าเอาล้อ Offset +38 มาใส่ (ร้านขายเกือบทั้งหมดจะบอกแต่ว่าใส่ได้หมดไม่ติด) ตัวล้อก็จะยื่นออกมาจากจุดที่ล้อเดิมอยู่อีก 53-38 = 15 มิล หรือ 1.5 เซ็นต์ครับ ล้อจึงยื่นออกมาพ้นตัวถังเวลาจัมป์ยางจึงติดบังโคลนครับ

ออฟเซ็ตติดลบมากไป (ล้อถ่างออกนอกซุ้มล้อ) New Jazz จะเจอปัญหานี้มากกว่า
ล้อ และยางจะเกิน ออกมานอกซุ้มล้อ เกิดโคลนกระเด็นใส่ตัวถัง หรือถ้ารถเตี้ยมากไป ยางเสียดสีกับบังโคลน ซุ้มล้อ และยางเสียหาย ไม่สวยงาม แถมยังมีผลต่ออากาศพลศาสตร์ด้วย

วิธีแก้ไข

1. เจียร หรือพับขอบซุ้มล้อ
เป็นวิธีแก้ไขในกรณีที่ล้อไม่ถ่างออกมามากเกินไป หรือเวลาวิ่งตรงไม่ติด แต่พอขึ้นเนิน เลี้ยว หรือบรรทุกหนักแล้วติด การพับซุ้มถือเป็นวิธีที่นิยมกันมาก แต่ต้องเป็นร้านที่มีฝีมือ เพราะถ้าสีเกิดเสียหายค่าทำสีจะแพงกว่าหลายเท่า แต่วิธีเจียรซุ้มเป็นวิธีที่ง่ายประหยัดกว่า แต่ข้อเสียคือ ซุ้มล้อจะไม่แข็งแรง ยืนพิงเบาๆก็อาจจะยุบได้ หรือถ้าไม่ป้องกันสนิม ซุ้มล้อจะผุอย่างรวดเร็ว
2. ขยายซุ้มล้อ หรือ Wide Bodyการทำให้ซุ้มล้อกว้างขึ้น ถือเป็นวิธีที่ผู้ผลิตยังใช้กัน เป็นงานที่ต้องลงทุนทุบตัวถัง หรือตัดซุ้มล้อใหม่ให้กว้างขึ้น แล้วทำสี เป็นงานที่ลงทุนมาก แต่ก็ให้ความสวยงามมากขึ้น
3. โป่งล้อ หรือ Over Fender
เป็นลักษณะโป่งพลาสติก หรือไฟเบอร์เย็บติดกับซุ้มล้อ เป็นวิธีที่นิยมกันมากในหมู่รถพวก 4X4 จนถึงรถระดับแข่งขัน Circuit
4. ซื้อล้อใหม่ คงไม่ต้องอถิบายกันมากนะครับ

ออฟลึก ออฟตื้น มีผลกับช่วงล่างอย่างไร
พวกแม็กซ์ออฟลึกๆ หรือล้อถ่างออกมาด้านนอก จะมีแรงกระทำต่อลูกปืนล้อ ลูกหมาก มากกว่า (คล้ายคานกระดกที่ย้ายน้ำหนักไปอยู่ด้านปลายมากขึ้น) เป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของพวกช่วงล่าง แต่ให้พลทางด้านการเกาะถนนเพิ่มขึ้น ต่างจากพวกออฟตื้นพวกนี้มีผลต่อช่วงล่างน้อยกว่า อายุการใช้งานของช่วงล่างยาวนานกว่า


3.เลือกยางและซีรียส์ของยาง

ยางประเภท sport highperformance นี้ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพในการเกาะถนนทรงตัวสูง สุด การตอบสนองควารู้สึกที่พวงมาลัยดีเยี่ยม เหมาะกับรถสปอร์ต สมรรถนะสูง ส่วนข้อเสียคือมีราคาแพง ความนุ่มนวล และอายุการใช้งานด้อยกว่ายางประเภทออกแบบสำหรับใช้งา นทั่วไป แต่สำหรับรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูง และผู้ที่ต้องการสมรรถนะ และตอบสนองในการขับขี่สูงสุด ยางประเภทสปอร์ตไฮเพอร์ฟอร์มานซ์ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

นอกจากยี่ห้อ หน้าตา ความสวยงามของแล้วแล้ว สิ่งที่ต้องดูตามมาคือ

1. วันที่ผลิต ใหดูที่แก้มยาง จะมีเขียน อาทิตย์และปีที่ผลิตไว้  1 ปีมี 52 สัปดาห์ ตัวเลขจะปั้มไว้ที่แก้มยางเช่น " 3808" หมายถึงผลิตอาทิต์ที่ 38 ปี 2008



2. Tradeware เป็นอีกจุดที่ควรดู

Tradeware ดูที่แก้มยางได้เลยครับ ตัวเลขยิ่งสูง ยางยิ่งแข็ง (เสียงดัง กระด้าง แต่สึกช้า) ถ้ายางเนื้อนิ่มจะนุ่มกว่าแต่ก็สึกไวกว่าครับ



Tradeware คือ การเปรียบเทียบความทนทานต่อการสึกหรอของยาง ซึ่งทดสอบภายใต้สภาวะควบคุม เช่น เกรด 150 จะทนมากกว่าเกรด 100 อยู่ 1.5 เท่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับนิสัยการขับขี่ การบำรุงรักษา สภาพของถนน และสภาพอากาศด้วย

Traction คือ ความสามารถในการหยุดขณะพื้นถนนที่เปียกทั้งถนนลาดยางและถนนคอนกรีต ซึ่งทดสอบภายใต้สภาวะควบคุม แบ่งเป็นเกรด AA, A, B และ C ตามลำดับจากประสิทธิภาพสูงไปต่ำ โดยวัดจากระยะการไถลไปข้างข้างหน้าเท่านั้น



Temperature คือ ความทนทานต่ออุณหภูมิสูง การให้กำเนิดและการแพร่กระจายความร้อน ซึ่งทดสอบภายใต้สภาวะควบคุม จะแบ่งเกรดเป็น A, B และ C ตามลำดับจากประสิทธิภาพสูงไปต่ำ ความร้อนนั้นจะทำให้สภาพยางเสื่อม อายุของยางสั้นลง และยางระเบิดได้ เกรด C นั้นต้องได้มาตรฐานของ Federal Motor Vehicle Safety Standard No.109 ส่วนเกรด A และ B นั้นต้องได้มาตรฐานตามกฏหมายกำหนดด้วย Temperature Grade นั้นมีไว้กำหนดขนาดของลมยางและน้ำหนักบรรทุก การขับเร็วเกิดขีดจำกัดของยาง ความดันลมยางที่ต่ำ หรือ บรรทุกน้ำหนักเกินขีดจำกัดของยาง ซึ่งสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือทุกสาเหตุดังกล่าวรวมกัน สามารถทำให้เกิดความร้อน และทำให้ยางเสียได้

3. แบบของดอกยาง ควรดูเรื่อง รูปแบบของดอกยางและเนื้อยางด้วยครับ ดอกยิ่งละเอียด เสียงยิ่งเงียบครับ

4. ขนาดและซีรียส์ของยาง

สมมุติขนาดยางเดิมเป็น 205/60 R15

205 คือ ความกว้างของยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ในที่นี้คือ 205 มม.

60 คือ ซีรี่ส์หรืออัตราส่วนความสูงของแก้มยางต่อความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็น % ในที่นี้คือ 205 x 60% = 123 มม.
จากนั้นจะต้องนำมาคูณ 2 จะได้เป็น 246 มม. ( ที่นำมาคูณ 2 หมายถึง แก้มยางบนและล่าง )

สำหรับเรื่องซีรียส์ของยาง ยกตัวอย่าง 205/45 กับ 205/40 การใส่ซีรียส์ 40 มาแทบไม่ได้ช่วยให้ไม่ติดเลย (ถ้าล้อ offset ยื่น) เพี่ยงแค่ช่วยให้ยางห่างจากบังโคลนมากขึ้นอีกประมาณ 1 เซ็นต์ ซึ่งทำให้รถกระเทือนมากขึ้นอีกครับ และที่สำคัญคือไม่สวยเนื่องจากมีช่องว่างมากไป แล้วถ้าโหลดรถลงมา ตัว ซีรียส์ 40 ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรอยู่ดี ลองคิดง่ายๆNote: การเลือกซื้อล้อและยางควรทำการบ้านไปก่อนนะครับ เพราะร้านแม็กในเมืองไทยส่วนใหญ่ (ไม่ใช่ทั้งหมด) ต้องการขายเพียงอย่างเดียว ฉนั้นอย่าไปเชื่อร้านมากครับ เชื่อตัวเองดีกว่า ยิ่งทางร้านเห็นลูกค้าไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ เสร็จเลยครับ


205/45 แก้มยาง 1 ข้างจะสูงเท่ากับ 92.25 มิล
205/40 แก้มยาง 1 ข้างจะสูงเท่ากับ 82 มิล

ความสูงต่างกัน 1.25 เซ็นต์ ก็กระเทือนต่างกันพอสมควรนะครับ

5. รูปแบบของแก้มยาง จะมี 2 แบบคือ แก้มยางปกติ และแก้มหลบ ตัวแก้มหลบ มุมของแก้มยางจะหลบเข้าในมากขึ้นเพื่อช่วยให้ติดน้อยลง


และนี่คือเจ้าหัวน็อตตัวดีที่ทำให้ติดด้านในครับ



Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 3,732 Today: 1 PageView/Month: 18

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...